วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตำนานๆ 009007 : กดหัวไว้ไม่ให้หมิ่น

ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ  :http://www.4shared.com/mp3/MPJXnM86/The_Royal_Legend_07.html


ตำนานๆ 009007 : กดหัวไว้ไม่ให้หมิ่น


............................แม้ว่าประเทศไทยจะมีกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีบทบัญญัติเกี่ยวกับพระราชอำนาจของความเป็นสมมุติเทพของกษัตริย์ รวมถึงบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายห้ามการดูหมิ่น หรือแม้แต่วิจารณ์กษัตริย์ หรือพระราชวงศ์ โดยมีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าสามปี ปกติคนไทยจะได้รับโทษที่รุนแรงมากกว่าชาวต่างชาติ

หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

1.ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ความผิดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบ
คือ ต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ ต้องมีเจตนา
มีถ้อยคำที่ควรพิจารณาอยู่ 3 ถ้อยคำ คือ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย
หมิ่นประมาท ตามมาตรา 112 คือ เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ไม่ว่าเรื่องที่เล่ามานั้นจะจริงหรือเท็จก็ตาม ถ้าพระมหากษัตริย์เสียหายก็ถือว่าหมิ่นประมาทแล้ว
ดูหมิ่น หมายถึงการแสดงการเหยียดหยาม อาจกระทำทางกริยา เช่น ยกส้นเท้า ถ่มน้ำลาย หรือกระทำด้วยวาจา เช่น ด่าด้วยคำหยาบคาย
แสดงความอาฆาตมาดร้าย หมายถึง การแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในอนาคต เช่น ขู่ว่าจะปลงพระชนม์ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่หรือไม่ก็ตาม

การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น ไม่รวมถึงเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ
ไม่รวมถึงองคมนตรี ท่านผู้หญิง คุณหญิง ข้าราชบริพาร สิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยง…

โดยทั่วไป การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ผู้กระทำอาจยกเหตุตามมาตรา 329 มาอ้างว่าตนกระทำได้ เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม หรือในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใด อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม หรือการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม นอกจากนี้ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทอาจอ้างเหตุยกเว้นโทษได้ ตามมาตรา 330 หากพิสูจน์ได้ว่าที่หมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง แต่ห้ามพิสูจน์ในกรณีที่เป็นการใส่ความเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
แต่คำพิพากษาฎีกายืนยัน ห้ามใช้บังคับกรณีพระมหากษัตริย์ เพราะทรงเป็นที่เคารพสักการะ มีสถานะแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ดังนั้นหากใครหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และจะอ้างต่อศาลว่าตนติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลก็ไม่รับฟัง

แต่ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ว่าแต่ว่าความจริงก็ต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน และก็ไม่กลัวว่าถ้าใครจะมาวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ตรงนั้นจะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัว ไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน... ฉะนั้น ก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบอก เป็นเรื่องขอให้เขารู้ว่าวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ลงท้ายพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก ถ้าไม่ให้วิจารณ์ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวนี้ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ” ปัญหาคือ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีเจตนาที่จะทำอย่างที่พระองค์มีพระราชดำรัสจริงๆหรือไม่หรือแค่เป็นการพูดเพื่อสร้างภาพ ตามปกติเท่านั้น

2.ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีในระบบกฎหมายไทยจริงหรือ

ประมวลกฎหมายไทยในปัจจุบันไม่มีคำว่า “ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นความผิดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่แสดงถึงเดชานุภาพและบารมีของกษัตริย์ มีเพียงแต่ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ตามมาตรา 112 ซึ่งเนื้อหาเหมือนกับความผิดฐานหมิ่นประมาทคนธรรมดา แต่มีโทษหนักกว่า จะอ้างว่าเป็นความจริงหรือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนไม่ได้และถือเป็นความผิดเกี่ยวด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุขของรัฐเป็นความจำเป็นที่ทุกประเทศต้องมีเพื่อคุ้มครองสถาบัน แต่ในหลายประเทศ ไม่เปิดให้มีการฟ้องร้องอย่างพร่ำเพรื่อ หากแต่เจ้าหน้าที่จะสอบถามไปที่สำนักพระราชวัง หรือสำนักงานประธานาธิบดี ว่าเห็นควรจะให้ฟ้องร้องหรือไม่

พระราชดำรัส 4 ธันวาคม 2548 ทรงเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ และไม่สนับสนุนให้มีการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์กันอย่างพร่ำเพรื่อ ทรงแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “...และมีแปลกๆ คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายเขาสอน สอนนายกฯ บอกว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็ขอสอนนายกฯ ใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน ” แต่ในหลวงก็ไม่เคยแสดงความจริงใจตามพระราชดำรัสแต่อย่างใด

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในสังคมไทย มี 4 ระยะ
คือ

ระยะที่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ภายใต้ระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ โทษตามข้อหาที่เรียกว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" มีโทษสูงสุดเพียงจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 1500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม มาตรา 4 ของ "พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาท ด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ รัตนโกสินทรศก 118 (พ.ศ. 2442) หรือ จำคุก 7 ปี และปรับ 5 พันบาท หรือทั้งจำและปรับ ตาม มาตรา 98 ในกฎหมายลักษณะญา ร.ศ. 127 (พ.ศ.2451) ไม่ได้มีโทษหนักหนาสาหัสถึงขั้นประหารชีวิตตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรอย่างที่พวกบ้าเจ้าบางคนเข้าใจไปเองแต่อย่างใดระยะที่สอง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 มีการเพิ่มเติมมาตราหนึ่ง ว่า “ ผู้ใดที่กระทำการให้ปรากฎแก่คนทั้งหลายด้วยวาจาลายลักษณ์อักษร หรือเอกสารตีพิมพ์ ทำให้เกิดความดูหมิ่นต่อกษัตริย์หรือรัฐบาล มีโทษจำคุกและปรับ ” แต่มีข้อยกเว้นที่น่าสนใจว่า “การกระทำที่ทำให้เกิดความดูหมิ่นต่อกษัตริย์หรือรัฐบาล ถ้ากระทำไปภายใต้ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ การกระทำนั้นไม่ถือว่าเป็นความผิด” ทำให้มีการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.สามารถปราศัยโจมตีรัฐบาลได้แม้ไม่ได้วิจารณ์กษัตริย์โดยตรง แต่น่าจะเทียบเคียงได้ เพราะกษัตริย์และรัฐบาลได้รับการคุ้มครองในลักษณะเดียวกัน
ระยะที่สาม มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาปี 2499 โดยบัญญัติข้อความที่ใช้อยู่จนถึงปัจจุบันว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ต่อมามีการเพิ่มโทษในปี 2519 มีการเพิ่มคำว่า“ดูหมิ่น” และมีผลที่กว้างกว่ามากจนถึงปัจจุบัน

ตัวอย่างคดีที่เกิดก่อนปี 2499 ก่อนการเพิ่มคำว่าดูหมิ่น: มีบุคคลคนหนึ่งอวดอ้างเป็นหมอรักษาโรคทางอาคม พูดอวดอ้างกับประชาชนว่า มือขวาของตนมีมีดพับเป็นพระขรรค์แก้ว มือซ้ายเป็นจักรนารายณ์ เป็นหมอวิเศษ จะชี้ให้คนเป็นบ้าหรือตายหรือเป็นอะไรทั้งสิ้น ตนจะเรียกพระเจ้าแผ่นดินหรือรัฐธรรมนูญให้มากราบไหว้ก็ได้ ศาลตัดสินว่าการกระทำนี้เป็นแค่อวดอ้าง ไม่ผิดฐานหมิ่นประมาทกับแสดงความอาฆาตมาดร้าย กรณีนี้ การพูดว่าจะเรียกให้พระเจ้าแผ่นดินมากราบไหว้ก็ได้ ไม่มีความผิดใดๆ

เปรียบเทียบคดีหลังปี 2499 หลังจากเพิ่มคำว่าดูหมิ่น เข้าไป : กรณีนายวีระ มุสิกพงศ์ กล่าวว่า ถ้าเลือกเกิดได้ จะเลือกเกิดใจกลางพระบรมมหาราชวัง ออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระ ไม่ต้องออกมายืนตากแดดพูดให้ประชาชนฟัง ถึงเวลาเที่ยงก็เข้าห้องเย็น เสวยเสร็จก็บรรทม ตื่นอีกทีก็บ่ายสามโมง ตกเย็นก็เสวยน้ำจันให้สบายอกสบายใจ คำพูดนี้ในทางกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท แต่เป็นการดูหมิ่น ถ้าคุณวีระ มุสิกพงศ์ พูดคำนี้ก่อน พ.ศ. 2499 ก็จะไม่ผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
การเพิ่มคำว่า “ดูหมิ่น” เข้าไป ทำให้ความผิดฐานนี้ขยายออกไปมาก การกระทำที่เป็นความผิดฐานดูหมิ่น ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะถูกตีความไปถึงเรื่องอื่นด้วย เช่น การพ่นสีสเปรย์ การไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ

ระยะที่สี่ เมื่อปี2551 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยให้ขยายความคุ้มครองถึงพระราชโอรส พระราชธิดา ประธานองคมนตรี องคมนตรี และผู้แทนพระองค์ แต่ต่อมา ร่างนี้ได้ถูกถอนออกไป ในสังคมไทย มีการขยายถึงตัวบุคคลออกไปอีก เช่น การวิจารณ์ว่า พล.อ.เปรม อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เพราะกษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนองคมนตรี คือพยายามให้กฎหมายขยายไปคุ้มครององคมนตรี

และมีการขยายความในการกระทำออกไปอีก ขยายความกว้างมาก กรณีพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เคยถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 3 เรื่อง คือ หนึ่งพระธัมมไชโย ไปขอสมณศักดิ์เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้รับ และมีข่าวลือว่า เมื่อกลับวัดไป พระธัมมชโย ตัดต้นกันเกราและต้นบุนนาค ที่สมเด็จย่าเคยปลูก เมื่อปี 2522 สอง ย้ายพระพุทธรูปที่สมเด็จย่าเททองหล่อไว้ แล้วนำพระพุทธรูปองค์ใหม่มาตั้งแทน ซึ่งกรรมาธิการศาสนาในยุคนั้นวินิจฉัยแล้วว่าหน้าคล้ายพระธัมมชโย สามซื้อและครอบครองที่ดินโดยไม่ใช้สมณศักดิ์ แต่ใช้ชื่อ พระพิบูลย์ สุทธิผล การกระทำสามอย่างนี้ถูกกรรมาธิการของสภาทางด้านศาสนาวินิจฉัยว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

หรือกรณีคุณสมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์ แถลงเปิดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของพรรคพลังประชาชน ว่า ถึงจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เลว ก็ยอมเป็นนายกรัฐมนตรี มีผู้แจ้งความเห็นว่าเป็นการใช้วาจาจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว จึงเข้าร้องทุกข์แจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับนายสมัคร ถ้าการกระทำของนายสมัครผิด แล้วการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในพระปรมาภิไธย ทำไมไม่ผิด การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงเป็นการใช้กฎหมายที่เลอะเทอะมากขึ้นทุกที

ข้อเสนอเรื่องกฎหมาย
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


1.ควรปรับปรุงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เช่นเดียวกับหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 โดยตัดคำว่า “ดูหมิ่น” ในมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาออก
2.ควรเพิ่มข้อยกเว้นให้การแสดงความคิดเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ เป็นสิ่งที่กระทำได้
3.ควรปรับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปตามระบอบประชาธิปไตยตามแบบของประเทศอื่นๆ ในสังคมโลกสมัยใหม่ โดยการฟ้องร้องดำเนินคดีควรทำได้เมื่อกษัตริย์มีพระบรมราชโองการ หรือโดยฉันทานุมัติจากกษัตริย์เท่านั้น ควรถือเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งกษัตริย์ย่อมมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองหากถูกกล่าวหา แต่ให้ดำเนินการฟ้องร้องคดีเอง โดยผ่านสำนักพระราชวังก็ได้ มิใช่ใครก็ฟ้องได้ ไม่ควรคิดแทนกษัตริย์ ควรเป็นสิทธิ์ของกษัตริย์เอง

4.เพื่อให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ควรจะยกเลิกกฎหมายนี้
ในขณะที่ประเทศอื่นๆที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้เปลี่ยนเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์เปิดกว้างมากขึ้น แต่สังคมไทยกลับมีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเกิดขึ้นมาก ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถพูดอะไรได้มาก กระบวนการยุติธรรมก็ลำบากใจต้องทำงานรับใช้เจ้าอย่างเต็มที่โดยไม่มีความปรานีใดๆ มันเป็นปัญหาที่สังคมไทยอยู่กับความผิดปกติ จนกระทั่งมันกลายเป็นเรื่องปกติไป หากไม่มีการแก้ไขปรับปรุง กฎหมายนี้ก็จะยังคงเป็นเครื่องมือทางการเมืองและสร้างความเสียหายแก่สถาบันกษัตริย์เองในที่สุด

ชะตากรรมนักโทษคดีหมิ่นฯ


ดา ตอร์ปิโด :
ชีวิตที่ไม่อาจล่วงรู้ชะตากรรม


นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำถ้อยความที่เธอพูดบนเวทีเล็กที่สนามหลวง ไปขยายต่อบนเวทีพันธมิตรฯ จนปลุกระแสได้สำเร็จ และถูกข้อหาหมิ่นฯเหมือนกัน แต่นายสนธิได้รับการประกันตัว ดา ตอร์ปิโดปราศรัยถามหาผู้ที่เซ็นรับรองการยึดอำนาจหลายครั้ง และปล่อยให้ลูกน้องคือพลเอกเปรมคอยบ่อนทำลายประชาธิปไตย และได้เตือนคนบางคนไม่ให้ทำตัวเป็นเสี้ยนหนามต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่อย่างนั้นอาจมีชะตากรรมแบบรัสเซียและฝรั่งเศส สิ่งที่เธอปราศรัยเป็นเรื่องจริงที่ประชาชนที่ฟังได้ปรบมือโห่ร้องให้กำลังใจ

นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมที่บ้านในคืนวันที่ 22 ก.ค.51 หลังจากนั้นถูกคุมตัวที่เรือนจำทัณฑสถานหญิงกลาง ดร. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ จากจุฬาลงกรณ์ได้ยื่นขอประกันตัวหลายครั้ง แต่ศาลปฏิเสธ
กลุ่มเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิมนุษยชนสากลได้เรียกร้องต่อทางการไทยให้เปิดการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยหลังจากมีการพิจารณาคดีเป็นการลับ โดยอ้างเหตุผลเรื่อง"ความมั่นคงของชาติ" เพราะไม่มีหลักประกันการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม เป็นคดีที่จำกัดเสรีภาพในการพูด ทั้งๆที่กฏหมายสากล และกฏหมายไทยเอง ยึดถือหลักการพิจารณาคดีเปิดเผยต่อสาธารณะ


บุญยืน:
นักโทษที่ไม่มีใครรู้จัก


คุณบุญยืน ประเสริฐยิ่ง เป็นหญิงวัยกลางคน หัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ประกอบอาชีพรับซื้อของเก่าอยู่แถวชานเมือง เคลื่อนไหวร่วมชุมนุมที่สนามหลวง ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19กันยา เธอเรียนไม่สูงนัก ประกาศตัวชัดว่าเป็นคนรักประชาธิปไตย เป็นนักปราศัยที่ดุดัน โดยได้ปราศรัยโจมตีประธานคมช. พลเอกสนธิว่าถูกเสี่ยโอตบหน้า เมื่อถูกควบคุมตัวก็ได้ถูกเกลี่ยกล่อมให้ยอมรับว่าได้พูดพาดพิงถึงฟ้าชาย ซึ่งที่จริงคุณบุญยืนต้องการอ้างว่าฟ้าชายไม่เห็นด้วยกับประธานคมช.ที่ทำรัฐประหาร แต่ต้องถูกจับเข้าคุกเพราะทางวังไม่อยากให้ใครกล่าวพาดพิงโดยเด็ดขาดในทุกๆกรณี คุณบุญยืนเข้ามอบตัวในวันที่ 15 ส.ค.2551 และรับสารภาพตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ตั้งทนายต่อสู้คดี วันที่ 6 พ.ย. 2551 ศาลพิพากษาจำคุกเธอ 12 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นรัชทายาท และลดโทษให้กึ่งหนึ่งจากการสารภาพ เหลือโทษจำคุก 6 ปี คดีนี้สิ้นสุดไปแล้วโดยที่แทบไม่มีใครล่วงรู้ และศาลไม่อนุญาตให้คัดสำเนาคำพิพากษาสำหรับผู้ไม่เกี่ยวข้องกับคดี

เปิดใจจากคุก
สุวิชา ท่าค้อ


คุณสุวิชา ท่าค้อ ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายหลายครั้ง ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลและรูปภาพทางอินเตอร์เนต เข้าข่ายดูหมิ่นพระมหากษัตริย์และรัชทายาท ถูกจับกุมตัวตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.นครพนม ห้ามการประกันอ้างเป็นคดีสำคัญ เกรงจะกระทำผิดซ้ำ อาจมีการหลบหนี
คุณสุวิชาทำงานบริษัทขุดเจาะน้ำมัน กว่า 10 ปีแล้ว เป็นวิศวกรคุมเครื่องจักร เงินเดือน 58,000 บาท มีเบี้ยเลี้ยงเมื่อเดินทางอีก 2,000 บาท ต่อวัน มีภรรยาเป็นแม่บ้านดูแลลูกๆ ลูกชาย2 คน ลูกสาว 1 คน บริษัทให้ออกจากงาน โดยไม่จ่ายค่าชดเชย อ้างเหตุที่เขาถูกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง คุณสุวิชา เป็นนักเล่นร่มบิน หรือพารามอเตอร์ ชนะเลิศหลายรางวัล

คุณสุวิชา บอกว่า อีเมล์ของเขาทุกฉบับ ถูกเจ้าหน้าที่เข้าไปอ่านหมดแล้ว มีการตั้งหน่วยไล่ล่า มีรายชื่อคนที่อยู่ในข่ายต้องการตัว และพยายามเชื่อมโยงว่าเป็นเครือข่าย และหลอกให้บอกให้หมดว่าในขบวนการมีใครบ้าง แล้วจะปล่อยกลับบ้าน จะกันตัวเป็นพยาน หลอกว่าถ้าให้ความร่วมมือดี ก็จะได้กลับบ้าน แต่กลับส่งเข้าคุก

นายกสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย เตือนเจ้าของเว็บไซต์ และผู้ที่โพสข้อความ ระวังโทษหมิ่นสถาบัน จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 มาตรา 14 ส่วนเจ้าของเว็บไซต์ต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ หากพบข้อความหมิ่นสถาบันให้ลบออกทันที หากไม่ทำตามจะมีความผิดตาม มาตรา 15 ฐานสนับสนุนหรือยินยอมให้มีความกระทำความผิด มีโทษเท่ากัน มีราว 10,000 เวปไซต์ที่กำลังถูกจับตามองอยู่ ประมาณ 2,300 เวปไซต์มีความเห็นและภาพดูหมิ่นราชวงศ์ไทยได้ถูกบล้อกหรือปิดไปเรียบร้อยแล้ว และอีก 400 กว่าว่าเวปไซต์รอคำสั่งศาลให้ปิดและมีงบประมาณเพิ่มราว45ล้านบาท ซื้อเครื่องมือพิเศษ ในการติดตั้งเพื่อใช้ติดตามสอดส่องเวปไซต์ที่โจมตีและหมิ่นราชวงศ์ตลอด 24 ชั่วโมง

พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้สนับสนุนหน่วยพิเศษที่สามารถ ดักฟังโทรศัพท์และบันทึกการสนทนาและการพูดในที่สาธารณะ โดยทหารจะแจ้งไปยังตำรวจถ้าพบว่ามีการละเมิดกฎหมายหมิ่นฯและพลเอกอนุพงษ์ก็ยังเป็นเป็นผู้นำหน่วยพิเศษ “ หน่วยเฉพาะกิจ 6080 ″ ซึ่งมีภาระกิจจับตามองเวปไซต์ซึ่งมีเนื้อหาโจมตีราชวงศ์ไทย เป็นการระดมความเข้มงวดกวดขันเอาจริงเอาจังอย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนจากหลายๆองค์กร การปกป้องสถาบันหลักๆของชาติ ต้องอธิบายหรือชี้ให้เห็นว่า คำพิพากษา, หรือพระราชกรณียกิจ, หรือวัตรปฏิบัติของสงฆ์ไทย สอดคล้องกับหลักการของระบบคุณค่าอันเป็นสากลอย่างไร และพร้อมจะเผชิญกับการทักท้วงของคนทั่วโลก ด้วยเหตุผลที่อธิบายได้ ไม่ใช่ด้วยการใช้อำนาจ หรือเพราะไม่ใช่คนไทยจึงไม่มีทางเข้าใจ บางครั้งการปกปิดกลับยิ่งทำให้ผู้คนสนใจมากขึ้น เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ เช่นกฎหมายหมิ่นศาล ควรตีความให้แคบและกระชับเพียงการกระทำที่ขัดขวางบิดเบือนกระบวนการไต่สวนพิจารณาคดีเท่านั้น ไม่ใช่รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษา หรือการแต่งกายและนั่งไม่เรียบร้อยในศาล หรือว่าเราจะไม่ยอมเป็นสังคมที่ทันสมัย
การใช้กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อปิดวิทยุชุมชน ฟ้องร้องเว็บไซต์ รวมถึงดำเนินคดีกับคนที่แสดงความเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ เป็นเครื่องชี้วัดปฏิกิริยาของระบอบราชาธิปไตยที่มีต่อการขยายตัวของกระแสประชาธิปไตย การที่ชนชั้นนำไม่สามารถทนดู ทนฟัง และอ่อนไหวต่อความคิดเห็นที่แตกต่างจากตนอย่างมาก จนต้องหันไปใช้กลไกรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ศาล เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวให้กับสังคม โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะสามารถหยุดยั้งคน ไม่ให้คิดและทำในสิ่งที่แตกต่าง เพราะชนชั้นนำไทยยังเข้าใจว่า อำนาจรัฐอยู่เหนือประชาชน และการใช้อำนาจในทางลบที่เน้นการบังคับและปราบปรามได้ผลกว่าการใช้อำนาจในทางบวกที่เน้นการสร้างสรรค์และร่วมมือ และทำให้ชนชั้นนำไทยเชื่อว่าตนเองสามารถตรึงสังคมไทยให้เป็นอยู่อย่างสมัยโบราณได้ตลอดไป
กฎหมายหมิ่นฯ ก่อให้เกิดการความขัดแย้งในสังคมมากอยู่แล้ว เพราะบทลงโทษสูงและมีความคลุมเครือ ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้เป็นผู้ฟ้องร้อง ผูกขาดอำนาจในตีความและบังคับใช้กฎหมายเอาไว้ในมือกลไกรัฐ กลายเป็นเครื่องมือทำลายศัตรูทางการเมือง การที่รัฐบาลเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ถ้ายึดหลักสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในเรื่องของความเชื่อของแต่ละบุคคล ก็ต้องเปิดทางให้ยกเลิก ข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องการบังคับให้ต้องเคารพสักการะพระมหากษัตริย์ และยกเลิกมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา พร้อมทั้งเลิกการประชาสัมพันธ์เชิดชูสถาบันกษัตริย์โดยใช้งบประมาณสาธารณะ และการอบรมสั่งสอนด้านเดี่ยวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์โดยสิ้นเชิง และปล่อยให้เป็นเรื่องของการใช้วิจารณญาณของแต่ละบุคคลตามหลักการของการเคารพในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกันของทุกๆคน

ลองฟังคำปราศัยของดา ตอร์ปิโด และพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อผู้หญิงที่รักชาติรักประชาธิปไตยที่กล้าหาญคนหนึ่ง ใครผิดใครชั่วกันแน่ ระหว่าง คนที่อวดอ้างว่าเป็นเจ้าแต่แท้จริงเป็นแค่หัวหน้าโจร หรือคนที่กล้าเรียกร้องเพื่อความถูกต้องและยุติธรรม.....วันนี้เรามาเปิดประเด็นกัน  มาทำคำว่าศัตรูของประชาชนให้ชัดเจน เพราะมีการอ้างว่าเป็นภาระจำยอม แต่จากการรัฐประหาร 15 ครั้งในอดีต เราจะตอบกับสาธารณชนได้อย่างไร จากการที่คนเป็นกบฏ ทำรัฐประหารสำเร็จ ตัดสินกันด้วยลายเซ็น ตลอดเวลา 60 กว่าปี เพียงแค่คนๆเดียวเซ็น จะตอบประชาชนว่าโดนบังคับหรือ เหมือน 19 กันยายน 2549 อย่างนั้นหรือ

การปล่อยให้ประชาชนถูกปล้นอำนาจและเห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหารเพื่อให้สถาบันของตนเองอยู่รอดถือเป็นความเห็นแก่ตัว จากการปฏิวัติ
24 มิถุนายน 2475 ที่นำโดยนายปรีดี พนมยงศ์ ที่ต้องเสี่ยงการโดนประหารเจ็ดชั่วโคตร ทั้งๆที่ท่านเป็นถึงเสนาบดีระดับสูง แต่ท่านต้องทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อเห็นแก่อนาคตของประเทศชาติและประชาชน

ท่านได้ไปเรียนฝรั่งเศสรุ่นเดียวกับร.ท.ประยูร ภมรมนตรี พ่อของแซม ยุรนันท์ ภมรมนตี ท่านจบกฎหมายระดับปริญญาเอกจากฝรั่งเศส ในวัยสามสิบต้นๆก็ได้เป็นหลวงประดิษฐ์มนูญธรรม ท่านปรึกษากับร.ท.ประยูรว่าต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อคนรุ่นต่อไปโดยได้ร่วมมือกับพระยาพหลพลพยุหเสนาและหลวงพิบูลสงคราม...เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 รัชกาลที่ 7 ก็ไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาท ถ้านายปรีดีมักใหญ่ใฝ่สูงจริง ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนเป็นระบอบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีไปแล้ว แต่นายปรีดีก็ได้เสนอชื่อพระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นเป็นกษัตริย์ทั้งๆที่มีแม่เป็นสามัญชน ต่อมาเกิดกรณีปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ซึ่งนายปรีดีก็ทราบเรื่องเป็นอย่างดี ว่ามีการทำลายหลักฐาน แต่นายปรีดีก็แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งนายรัฐมนตรี โดยมีการพยายามกล่าวหาใส่ร้ายนายปรีดีโดยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต้องลี้ภัยจากการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลโดยพลโทผิน ชุณหะวัน รวมทั้งหาเรื่องประหารผู้บริสุทธิ์ แม้ว่าจอมพล ป. จะเสนอขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็ไม่ได้รับเหลียวแล แต่ก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวของผู้บริสุทธิ์ต่อไป โดยที่นายปรีดีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวรรคต เพราะคุณพูนสุขก็ยังคงเป็นท่านผู้หญิงต่อไปจนเสียชีวิต ส่วนนายปรีดีก็ยังเป็นรัฐบุรุษอาวุโสตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

นายกรัฐมนตรีที่ดีอย่างนายปรีดีอยู่ในประเทศไม่ได้ และต่อมาอีกนานหลายสิบปี คนอย่างนายกทักษิณซึ่งนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดคนหนึ่งก็อยู่ประเทศไทยไม่ได้เหมือนกัน ขณะที่รัฐบาลเผด็จการโกงกินทุกรูปแบบ แบบสฤษดิ์ ถนอม-ประภาสกลับอยู่ได้เป็นสิบๆปี มันยุติธรรมไหม  การที่นายกทักษิณแก้ปัญหาของคนจน กล้าประกาศสงครามกับพวกค้ายาเสพติด กล้าสร้างปัจจัยพื้นฐานให้ประชาชนซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลใดกล้าทำมาก่อน แต่กลับเป็นเสี้ยนตำใจเป็นหนอมยอกอกพวกอำมาตย์ศักดินาธิปไตย ถ้าประชาชนยังไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย ก็จะไม่มีทางชนะ รบร้อยครั้งก็แพ้ทั้งร้อยครั้ง ใครที่สิ้นคิด มีความคิดแบบข้าทาสในเรือนเบี้ย ก็ไม่ควรเผยแพร่ความคิดแก่คนอื่นๆ มีเพียงไม่กี่ประเทศที่สิ้นคิดแบบไทย ที่บอกว่าระบอบเผด็จการดี แบบพรรคประชาธิปัตย์ที่ขอนายกพระราชทานมาตรา 7 รวมทั้งนายสนธิ ลิ้มทองกุลที่เสนอระบบเลือกตั้งและแต่งตั้ง 30/70


บางคนที่ไม่บอกก็บอกว่าพลเอกเปรมเป็นตัวบงการใหญ่ แต่ถ้าคุณเป็นคนดี แล้วมีลูกน้องชั่วๆแบบพลเอกเปรม คุณจะเลี้ยงมันไว้ไหม ถ้าคุณไม่ใช่โจร คุณจะคบกับโจรไหม ทำไมพลเอกเปรมจึงได้ห้าวหาญขนาดนั้น ก่อนหน้าที่พลเอกเปรมจะเป็นใหญ่ ใครเล่าที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 ใครที่เห็นดีเห็นงามกับคนชั่วๆอย่างจอมพลสฤษดิ์และถนอม-ประภาส ทั้งๆที่สฤษดิ์มีเงินส่วนตัวกว่าสี่พันล้านบาทแต่พอไปว่าความคดีเขาพระวิหาร ก็ต้องมาเรี่ยไรเงินประชาชนแค่ 18 ล้านบาทโดยไม่ยอมควักเงินส่วนตัวออกมา




จอมพลสฤษดิ์เป็นเผด็จการบ้าอำนาจ ที่ใช้มาตรา 17 สั่งประหารประชาชนที่เป็นเจ้าของบ้านต้นเพลิง และยึดธนาคารเอกชนด้วยข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เช่นยึดสหธนาคารของนายสหัส มหาคุณแล้วส่งลูกน้องของตนเข้าไปคุม คือ นายบรรเจิด ชลวิจารณ์ พ่อของนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์รัฐมนตรีช่วยอุตสาหกรรมในสมัยรัฐบาลโจรสุรยุทธ์ ต่อมาเมื่อถนอมสืบทอดอำนาจจากสฤษดิ์ก็ส่งลูกเขยของตนเข้าไปยึดสหธนาคาร



คือ นายชำนาญ เพ็ญชาติ 
นายบัณฑูร ล่ำซำ เจ้าของธนาคารกสิกร ก็แต่งงานกับหลานสาวจอมพลถนอมชื่อนางอุษา กลายมาเป็นแหล่งเงินทุนให้พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีแม่คือมรว.สำอางวรรณ เทวกุลเป็นพี่สาวต่างแม่ของมรว.ปรีดียาธร เทวกุล ทั้งหมดนี้เป็นการผสมผนึกรวมกำลังของพวกเจ้ากับขุนศึกและกลุ่มทุนเก่าเพื่อต่อสู้กับกลุ่มทุนใหม่อย่างคุณทักษิณ นี่คือจุดเปลี่ยนในสังคมไทยที่ต่างประเทศได้เคยต่อสู้กันมาเป็นร้อยปีแล้ว ยังมีธนาคารกรุงเทพซึ่งมีน้องสะใภ้คือคุณหญิงกัลยา โสภณพานิชมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์โดยมีพลเอกเปรมเป็นประธานที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ กลายเป็นนายทุนให้พันธมารของนายสนธิ เพราะพรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้ จึงต้องอาศัยพวกอันธพาลทางการเมือง ขณะที่นายกสมัครโดนจับผิด แต่นายอภิรักษ์ โกษะโยธินผู้ว่ากทม.ที่ทุจริตเรื่องรถดับเพลิงกลับลอยนวลเพราะเอาเด็กหนุ่มและลูกชายของตนเองไปกำนัลให้พลเอกเปรม ภรรยาของป้าแมรี่หรือนายสุรเกียรติก็มาเป็นชู้กับนายสนธิลิ้ม
โดยที่นายสนธิลิ้มก็เลี้ยงนายตำรวจหนุ่มคือพ.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธุ์กุลอ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมโดยซื้อคอนโดให้ราคา 40 ล้านบาท บ้านเมืองจึงมีสภาพเหมือนสมัยพระนางซูสีไทเฮาที่ขันทีครองเมืองจนทำให้สิ้นชาติ เหมือนประเทศรัสเซียที่มเหสีพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองไปหลงเชื่อรัสปูติน สุดท้ายก็สิ้นชาติ เหมือนที่มีการทำลายคุกบาสติลที่เป็นคุกการเมืองในฝรั่งเศส

ตั้งแต่เราเสียนายปรีดี พนมยงค์เป็นเวลายาวนานมาแล้ว พอมาถึงสมัยนายกทักษิณก็กลับมาโดนคนๆเดียวกันเล่นงานอีก คนเราถ้าแก่ตัวแล้วก็หัดสำนึกตัวเสียบ้าง อุตส่าห์เดินทางไปหัวหิน ไม่รู้ว่าสำนึกตัวได้บ้างรึเปล่า นึกว่าจะไปปลีกวิเวกทำใจให้รู้สำนึกวาระสุดทเยของชีวิต จะทำความดีเป็นครั้งสุดท้าย แต่วันดีคืนดีก็ไฟเขียวให้พลเอกเปรมออกมาอีกแล้ว นี่คือการจำลองเหตุการณ์ก่อน
19 กันยา 2549 บอกได้เลยว่าการนองเลือดยังต้องเกิดขึ้นอีก คงต้องตัดสินกันด้วยการนองเลือด แต่พวกเราไม่กลัว เพราะถ้าไม่มีผู้เสียสละแบบ 14 ตุลา 2516  6 ตุลา 2519 และ 17 พฤษภา 2535 พวกเราก็จะไม่รู้จักว่าคุณทักษิณคือใคร รัฐธรรมนูญ 2540 คืออะไร เมื่อเรารับไม้ต่อมา และไม่สามารถรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ได้ เราก็คงไม่มีหน้าไปพบวีรชน 14 ตุลาที่อุตส่าห์เสียสละชีวิตเพื่อพวกเรา


เราได้สูญเสียนายปรีดี พนมยงค์ รวมถึงพระเจ้าตากสินมหาราช สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยคนในรุ่นของพวกเราช่วยกันชำระสะสางหน้าประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ให้ประเทศไทยมีการปกครองที่ถูกต้องภายใต้กติกาของบ้านเมืองนั่นคือระบอบประชาธิปไตย ระบอบอื่นเราไม่รับ ไม่ว่าคุณจะกดหัว เอาปืนจี้ขมับ หรือสั่งยิงเป้า พวกเราก็ไม่กลัว เพราะระบอบประชาธิปไตยได้พิสูจน์แล้วว่าคือทางออกของประเทศ ถ้ารัฐบาลใดก็ตามที่ไม่ได้มาจจากการเลือกตั้งของประชาชน มันก็ไม่สนใจประชาชน เหมือนรัฐบาลกบตาโปนสุรยุทธ์

รัฐบาลสมัครอยู่มาได้สี่เดือนโดยมีโครงการเมกกะโปรเจคท์มากมายในอีกหกเดือนข้างหน้า แต่บางคนก็ทนไม่ได้ต้องตั้งกลุ่มพันธมิตรขึ้นมาโดยมีพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังและตอนนี้มันได้ขึ้นอยู่อยู่เบื้องหน้าเวทีแล้ว วันนี้ได้เวลาสะสางแล้ว เราจะปล่อยให้คนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียวมาเป็นใหญ่ในบ้านเมืองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราเตรียมตัวไว้ได้เลย วันที่
2 สิงหาคม 2551 นี้ ที่สะพานมัฆวาน

แม้ว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วก็ยังต้องเจอปัญหาแบบเดิมอีก เราจึงคงต้องล้างกันด้วยเลือดเพื่อให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติแม้ว่าเราจะไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ไม่อยากให้มีการสูญเสีย แต่เราก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมเพื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
เราจะยอมให้ชนชั้นปกครองไม่กี่ตัวกดหัวประชาชนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าคุณอยากเป็นชนชั้นปกครองที่ดี ก็ต้องเลือกเอาว่าจะเป็นแบบญี่ปุ่น อังกฤษ หรือจะเอาแบบรัสเซียที่โดนปุปุทั้งตระกูล หรือจะเอาแบบฝรั่งเศสที่โดนกิโลตินฟันคอกระเด็น หรืออยากจะโดนแบบเนปาลที่ที่ประชาชนลุกขึ้นมาปลดพวกคุณทั้งครอบครัว วันนี้ประชาชนไม่มีทางเลือก นอกจากต้องสู้เท่านั้น เพราะตลอด 75 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ 2475 ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาระบอบประชาธิปไตยได้อย่างต่อเนื่อง เพียงเพราะมีคนบางคนหวงอำนาจและไม่เคารพกฎกติกา ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ แต่ทำตัวเป็นเสี้ยนหนามของระบอบประชาธิปไตย ในเมื่อคุณไม่เห็นหัวประชาชน แล้วประชานจำเป็นต้องเห็นหัวพวกคุณหรือไม่.....


สิ่งที่ดา ตอร์ปิโดพูดเป็นความจริงและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่ เป็นการพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่
เป็นการทำหน้าที่ของพลเมืองที่ดีในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่...เป็นการพูดเตือนสติผู้มีบารมีที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินให้ความสำนึก




แต่สิ่งที่ได้รับ คือ การใช้อำนาจบาตรใหญ่ สั่งให้ลูกน้องและบริวารจับประชาชนผู้รักสิทธิเสรีภาพเข้าคุก....
แทนที่จะได้สำนึกแต่กลับใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่มีความเมตตาปรานีใดๆ ทั้งสิ้น อย่างที่ได้พยายามสร้างภาพมาโดยตลอด


.......................

ไม่มีความคิดเห็น: